งาดำ (Sesamum indicum) เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์สูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และมีประวัติการบริโภคมาอย่างยาวนานในหลายวัฒนธรรม งาดำเป็นแหล่งของโปรตีน ไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม นอกจากนี้ยังมีสารเซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและความงามได้เป็นอย่างดี
ลักษณะของงาดำ
- เมล็ด: มีขนาดเล็ก รูปทรงรี และมีเปลือกสีดำ
- ลำต้น: เป็นพืชล้มลุก สูงประมาณ 60-150 เซนติเมตร
- ดอก: มีสีขาวหรือสีม่วงอ่อน ออกดอกเดี่ยวตามข้อของลำต้น
- ฝัก: มีขนาดเล็ก ภายในบรรจุเมล็ดงา ซึ่งสามารถนำไปสกัดเป็นน้ำมันงาดำ

พื้นที่ปลูกงาดำในประเทศไทย
งาดำสามารถปลูกได้ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อนชื้นและมีดินที่มีการระบายน้ำดี ในประเทศไทยพื้นที่ปลูกหลัก ๆ ได้แก่:
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
- ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง
- ภาคกลาง: จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี
- ภาคตะวันตก: จังหวัดราชบุรี และเพชรบุรี
การปลูกงาดำ
1. ฤดูปลูก
- ปลูกได้ตลอดปี แต่ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ ต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) หรือ ฤดูหนาว (พฤศจิกายน-มกราคม)
2. การเตรียมดินและการปลูก
- งาดำต้องการดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ค่า pH 5.5-6.5
- ไถพรวนดินให้ร่วนซุย กำจัดวัชพืช และเติมปุ๋ยอินทรีย์ก่อนปลูก
- หว่านเมล็ดหรือหยอดหลุมปลูก เว้นระยะห่างระหว่างต้น 20-30 เซนติเมตร
3. การดูแลรักษา
- ให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงออกดอกและติดฝัก
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักเสริมเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน
- ควบคุมวัชพืช และป้องกันแมลงศัตรูพืช เช่น เพลี้ยไฟและหนอนเจาะฝัก
ผลผลิตและคุณค่าทางโภชนาการของงาดำ
1. ปริมาณผลผลิต
- ผลผลิตงาดำเฉลี่ยอยู่ที่ 100-250 กิโลกรัมต่อไร่ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการจัดการแปลงปลูก
2. คุณค่าทางโภชนาการของงาดำ (ต่อ 100 กรัม)
สารอาหาร | ปริมาณ |
---|---|
พลังงาน | 573 กิโลแคลอรี |
โปรตีน | 17.7 กรัม |
ไขมัน | 49.7 กรัม |
คาร์โบไฮเดรต | 23.5 กรัม |
ใยอาหาร | 11.8 กรัม |
แคลเซียม | 975 มิลลิกรัม |
เหล็ก | 14.5 มิลลิกรัม |
แมกนีเซียม | 351 มิลลิกรัม |
วิตามินบี1 | 0.79 มิลลิกรัม |
วิตามินอี | 1.41 มิลลิกรัม |
งาดำเป็นแหล่งของ โอเมก้า-6 และโอเมก้า-9 ซึ่งช่วยบำรุงสมองและลดการอักเสบในร่างกาย
การนำงาดำไปใช้ประโยชน์
1. อาหาร
- งาดำคั่ว – ใช้โรยบนข้าว อาหารญี่ปุ่น หรือขนมเพื่อเพิ่มรสชาติ
- นมงาดำ – นำเมล็ดงาดำมาปั่นกับน้ำและกรองเพื่อทำเป็นนมทางเลือก
- ขนมและเบเกอรี่ – ใช้เป็นส่วนผสมในขนมปัง คุกกี้ และเค้ก
- ซอสและน้ำมันงาดำ – ใช้ในอาหารจีนและญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มรสชาติ
2. สมุนไพรและสุขภาพ
- ช่วยบำรุงกระดูก – งาดำมีแคลเซียมสูง ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ลดระดับคอเลสเตอรอล – กรดไขมันดีในงาดำช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
- บำรุงผิวพรรณและเส้นผม – สารเซซามินช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและลดการเกิดริ้วรอย
- ป้องกันโรคหัวใจ – ไขมันไม่อิ่มตัวช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
3. อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง
- น้ำมันงาดำ ใช้ในครีมบำรุงผิวและแชมพูเพื่อช่วยให้ผิวและเส้นผมแข็งแรง
- สบู่งาดำ ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นและลดการระคายเคือง

ศักยภาพทางเศรษฐกิจของงาดำ
1. ตลาดในประเทศ
- มีความต้องการเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้รักสุขภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากน้ำมันงาดำ
- ร้านค้าสุขภาพและซูเปอร์มาร์เก็ตเริ่มนำผลิตภัณฑ์จากงาดำมาจำหน่ายมากขึ้น
2. ตลาดต่างประเทศ
- ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลีมีการใช้งาดำในอาหาร เช่น ซูชิและขนม
- ตลาดเครื่องสำอางในยุโรปและสหรัฐฯ ให้ความสนใจน้ำมันงาดำในฐานะส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
สรุป
งาดำเป็นพืชน้ำมันที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง สามารถปลูกได้ดีในประเทศไทย และมีประโยชน์ทั้งในด้านอาหาร สมุนไพร และอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง การปลูกงาดำไม่เพียงแต่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในตลาดโลก
หากคุณกำลังมองหาแหล่งโปรตีนและสารอาหารจากพืช งาดำเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม!