กะเพรา (Ocimum tenuiflorum หรือ Ocimum sanctum) เป็นสมุนไพรที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมการกินของไทยมาอย่างยาวนาน นอกจากจะเป็นส่วนประกอบสำคัญในเมนูยอดนิยมอย่าง “ผัดกะเพรา” แล้ว ยังเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยาและคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยในต่างประเทศ กะเพรามีชื่อเรียกว่า “Holy Basil” หรือ “Sacred Basil” ซึ่งมีความหมายว่า “กะเพราศักดิ์สิทธิ์” นั่นเอง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกะเพรา
- ลำต้น: เป็นไม้ล้มลุก มีอายุสั้น สูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร ลำต้นมีขนปกคลุม
- ใบ: เป็นใบเดี่ยว รูปรี ปลายใบแหลม ขอบใบหยัก มีขนปกคลุม มีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์
- ดอก: ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกมีขนาดเล็ก สีขาวหรือม่วงอ่อน
- ผล: เป็นผลแห้ง เมื่อแตกออกจะมีเมล็ดสีดำขนาดเล็ก

ชนิดของกะเพรา
กะเพราในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิดหลัก ได้แก่:
- กะเพราขาว – มีลำต้นและใบสีเขียว กลิ่นไม่ฉุนมาก รสเผ็ดร้อนน้อยกว่ากะเพราแดง
- กะเพราแดง – มีลำต้นและใบสีม่วงแดง มีกลิ่นหอมและรสเผ็ดร้อนกว่ากะเพราขาว นิยมใช้ในทางยา
คุณค่าทางโภชนาการของกะเพรา (ต่อ 100 กรัม)
- พลังงาน: 40 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต: 8 กรัม
- โปรตีน: 3 กรัม
- ไขมัน: 0.5 กรัม
- ใยอาหาร: 2 กรัม
- วิตามินเอ: 400 ไมโครกรัม
- วิตามินซี: 18 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก: 3.1 มิลลิกรัม
- แคลเซียม: 160 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส: 55 มิลลิกรัม
สรรพคุณทางยาและประโยชน์ต่อสุขภาพ
กะเพราเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยาหลายประการ ได้แก่:
- ช่วยขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ
- กระตุ้นการย่อยอาหาร ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยลดไขมันในเลือด
- ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง
- บรรเทาอาการไอ เจ็บคอ และขับเสมหะ
- ช่วยลดความเครียดและบรรเทาอาการอ่อนเพลีย

วิธีปลูกกะเพราให้เจริญเติบโตดี
กะเพราเป็นพืชที่ปลูกง่าย สามารถเจริญเติบโตได้ดีในดินเกือบทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี มีแสงแดดเพียงพอ
1. วิธีการปลูก
- ปลูกจากเมล็ด: หว่านเมล็ดลงในแปลงเพาะต้นกล้า รดน้ำสม่ำเสมอประมาณ 7-10 วัน จะเริ่มงอก
- ปลูกจากกิ่งชำ: นำกิ่งที่มีรากติดมาปักลงในดินที่เตรียมไว้ รดน้ำให้ดินชุ่มชื้น
2. การดูแลรักษา
- รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง ในช่วงเช้าและเย็น แต่ต้องระวังไม่ให้แฉะเกินไป
- ใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกทุก 2 สัปดาห์ เพื่อบำรุงดินและช่วยให้ต้นโตเร็ว
- ตัดแต่งกิ่ง เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตและให้ต้นแตกยอดมากขึ้น
- ป้องกันแมลงศัตรูพืช โดยใช้สารชีวภาพ เช่น น้ำส้มควันไม้ หรือสารสกัดจากสะเดา
การนำกะเพราไปใช้ในอาหาร
กะเพราเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยหลายเมนู เช่น:
- ผัดกะเพรา – อาหารจานด่วนยอดนิยมที่ใช้กะเพราผัดกับเนื้อสัตว์ เช่น หมู ไก่ เนื้อวัว กุ้ง หรือทะเล
- แกงป่า – ใช้กะเพราเพิ่มความหอมและรสเผ็ดร้อน
- แกงเลียง – ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมให้กับแกง
- ไข่เจียวกะเพรา – นำใบกะเพรามาสับละเอียดแล้วผสมกับไข่ทอด
- ชากะเพรา – ใช้ใบกะเพราตากแห้งชงเป็นชาเพื่อช่วยบรรเทาอาการหวัดและลดความเครียด
ข้อควรระวังในการบริโภคกะเพรา
แม้ว่ากะเพราจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย แต่ก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีข้อจำกัดทางสุขภาพ
- หญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เพราะอาจมีผลต่อฮอร์โมน
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไต ควรระวัง เนื่องจากกะเพรามีโพแทสเซียมสูง
- ผู้ที่รับประทานยาลดน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะกะเพรามีฤทธิ์ช่วยลดน้ำตาลในเลือด อาจเสริมฤทธิ์ของยาได้
สรุป
กะเพราเป็นสมุนไพรที่มีคุณค่าทางโภชนาการและสรรพคุณทางยาสูง สามารถปลูกได้ง่ายและเป็นส่วนประกอบสำคัญของอาหารไทยหลากหลายเมนู นอกจากรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยย่อยอาหาร ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ และบรรเทาอาการหวัด การปลูกกะเพราไว้ใช้ในครัวเรือนจึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการใช้ชีวิตแบบสุขภาพดีและยั่งยืน