กระท้อน (Santol)

กระท้อน (Sandoricum koetjape) เป็นไม้ผลเขตร้อนที่อยู่ในวงศ์ Meliaceae มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบมากในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ผลกระท้อนมีรสชาติหลากหลาย ตั้งแต่เปรี้ยวจัดไปจนถึงหวานฉ่ำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ นอกจากการรับประทานผลสดแล้ว กระท้อนยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารและขนมต่าง ๆ เช่น กระท้อนลอยแก้ว กระท้อนแช่อิ่ม และยำกระท้อน

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกระท้อน

  • ลำต้น: กระท้อนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ 15-30 เมตร เปลือกต้นมีสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม ผิวขรุขระ โคนต้นมีพูพอน
  • ใบ: ใบประกอบแบบขนนก ใบย่อยมีขนาดใหญ่ รูปไข่หรือรูปรี สีเขียวเข้ม ผิวใบเรียบ
  • ดอก: ออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกมีสีเหลืองอ่อนถึงเหลืองเข้ม มีกลิ่นหอม
  • ผล: ทรงกลมแป้น เปลือกบางถึงหนาขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีเนื้อปุยหุ้มเมล็ดที่นุ่มและมีรสหวานอมเปรี้ยว
กระท้อน (Santol)

สายพันธุ์กระท้อนที่นิยมปลูก

  1. พันธุ์อีล่า – ผลใหญ่ เปลือกหนา เนื้อหนานุ่ม รสหวานอมเปรี้ยว ติดผลดก
  2. พันธุ์นิ่มนวล – ผลขนาดกลาง เปลือกบาง เนื้อนุ่มมาก รสหวานจัด มีปุยหนา
  3. พันธุ์ปุยฝ้าย – มีปุยขาวนุ่มเหมือนฝ้าย รสหวาน เมล็ดเล็ก เหมาะกับการรับประทานสด
  4. พันธุ์ทับทิม – ผลขนาดเล็กถึงกลาง เปลือกบาง เนื้อนุ่ม รสหวานอมเปรี้ยว

คุณค่าทางโภชนาการของกระท้อน (ต่อ 100 กรัม)

  • พลังงาน: 45 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต: 11 กรัม
  • ใยอาหาร: 2.3 กรัม
  • วิตามินซี: 23 มิลลิกรัม
  • แคลเซียม: 12 มิลลิกรัม
  • ธาตุเหล็ก: 0.7 มิลลิกรัม

สรรพคุณของกระท้อน

  1. ช่วยบำรุงระบบขับถ่าย – ใยอาหารสูงช่วยป้องกันอาการท้องผูก
  2. มีสารต้านอนุมูลอิสระ – ช่วยชะลอวัย และลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง
  3. บำรุงกระดูกและฟัน – มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง
  4. ช่วยลดความดันโลหิต – มีโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต
  5. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามินซีช่วยป้องกันโรคหวัด

วิธีการปลูกกระท้อน

1. การเตรียมพื้นที่ปลูก

  • เลือกดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี และมีค่า pH อยู่ระหว่าง 5.5-6.5
  • พื้นที่ควรได้รับแสงแดดเต็มที่

2. การปลูก

  • ใช้ต้นกล้ากระท้อนอายุ 1-2 ปี ปลูกในหลุมลึกประมาณ 50-70 ซม.
  • เว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 8-10 เมตร เพื่อให้ต้นเจริญเติบโตได้ดี

3. การดูแลรักษา

  • การรดน้ำ: ควรรดน้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงแรก และลดการให้น้ำเมื่อเข้าสู่ระยะออกดอก
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ทุก 3 เดือน และเสริมปุ๋ยสูตร 8-24-24 ในช่วงออกดอก
  • การตัดแต่งกิ่ง: ควรตัดแต่งกิ่งแห้งหรือกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ออกทุกปี

ศัตรูพืชและโรคที่พบบ่อย

  1. เพลี้ยแป้ง – ทำให้ผลกระท้อนมีราดำ ควรฉีดน้ำล้างและใช้สารชีวภาพกำจัด
  2. หนอนเจาะลำต้น – ทำให้ต้นอ่อนแอ ควรใช้สารป้องกันกำจัดแมลงเฉพาะทาง
  3. เชื้อราแอนแทรคโนส – ทำให้ใบไหม้ ผลเสียหาย ควรฉีดพ่นสารป้องกันเชื้อรา

เทคนิคการเก็บเกี่ยวกระท้อน

  • กระท้อนใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนหลังออกดอกจึงจะเก็บเกี่ยวได้
  • เก็บเกี่ยวเมื่อผลมีสีเหลืองนวลและผิวเนียนขึ้น
  • ใช้กรรไกรตัดผลเพื่อป้องกันการช้ำ
  • ควรเก็บเกี่ยวในช่วงเช้าหรือเย็นเพื่อป้องกันผลเสียหายจากอุณหภูมิสูง

วิธีการบริโภคกระท้อน

  • รับประทานสด – ปอกเปลือกแล้วรับประทานเนื้อใน
  • กระท้อนลอยแก้ว – แช่ในน้ำเชื่อม เพิ่มรสชาติ
  • กระท้อนแช่อิ่ม – ดองในน้ำตาลเพื่อให้ได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว
  • ยำกระท้อน – ผสมกับกุ้งแห้ง ถั่วลิสง และน้ำยำรสจัด
  • แปรรูปเป็นน้ำกระท้อน – คั้นน้ำและแช่เย็นเพื่อดื่มสดชื่น

ข้อควรระวังในการบริโภคกระท้อน

  • ไม่ควรรับประทานเมล็ด – เมล็ดกระท้อนมีสารพิษ หากเคี้ยวอาจเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร
  • รับประทานในปริมาณที่เหมาะสม – กระท้อนมีคาร์โบไฮเดรตสูง อาจเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด
  • ผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหารควรระวัง – กระท้อนอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดในบางคน

ช่องทางการตลาดของกระท้อนในประเทศไทย

  1. ตลาดสดและห้างค้าปลีก – จำหน่ายกระท้อนสดตามตลาดสดและซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น แม็คโคร เทสโก้โลตัส
  2. การขายออนไลน์ – จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น Shopee, Lazada และ Facebook Marketplace
  3. การส่งออก – กระท้อนไทยเป็นที่นิยมในตลาดต่างประเทศ เช่น จีน และมาเลเซีย
  4. อุตสาหกรรมแปรรูป – ผลิตเป็นน้ำกระท้อนกระป๋อง และขนมหวาน
  5. การขายตรงจากสวน – เกษตรกรสามารถขายผลผลิตโดยตรงผ่านฟาร์มทัวร์หรือแผงจำหน่ายสินค้าเกษตร

สรุป

กระท้อนเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและเต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ สามารถปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจได้ และยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ได้อีกมากมาย หากคุณกำลังมองหาผลไม้ที่ทั้งอร่อยและมีประโยชน์ กระท้อนเป็นตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด!