ฟักทองสีส้ม (Cucurbita spp.) เป็นพืชในตระกูลเดียวกับแตงโมและบวบ มีลักษณะเด่นคือเปลือกสีส้มสดใส เนื้อภายในสีเหลืองเข้ม เนื้อแน่นเหนียว รสหวานอ่อน สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายทั้งในการทำอาหารและในอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และใยอาหาร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita spp.
- วงศ์: Cucurbitaceae
- ลำต้น: เป็นเถาเลื้อย ยาวประมาณ 3-5 เมตร มีขนปกคลุม
- ใบ: รูปหัวใจ ขอบใบหยัก สีเขียวเข้ม
- ดอก: สีเหลืองสด ขนาดใหญ่ แยกเพศบนต้นเดียวกัน
- ผล: มีลักษณะทรงกลมหรือรี เปลือกสีส้ม เนื้อแน่น สีเหลืองหรือสีส้มเข้ม
- เมล็ด: แบนรี สีขาวหรือสีครีม มีน้ำมันที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)
- พลังงาน: 26 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต: 6.5 กรัม
- ใยอาหาร: 0.5 กรัม
- โปรตีน: 1 กรัม
- ไขมัน: 0.1 กรัม
- วิตามินเอ: 8510 IU (ช่วยบำรุงสายตาและผิวหนัง)
- วิตามินซี: 9 มิลลิกรัม (เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน)
- โพแทสเซียม: 340 มิลลิกรัม (ช่วยควบคุมความดันโลหิต)
- ธาตุเหล็ก: 0.8 มิลลิกรัม (ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง)
- แมกนีเซียม: 12 มิลลิกรัม (ช่วยบำรุงกระดูกและกล้ามเนื้อ)
ประโยชน์และสรรพคุณทางยา
- ช่วยบำรุงสายตา – เบต้าแคโรทีนในฟักทองช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น ต้อกระจก
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันโรคหวัดและไข้หวัดใหญ่
- ช่วยควบคุมน้ำหนัก – มีพลังงานต่ำและใยอาหารสูง ทำให้อิ่มท้องได้นาน
- ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ – โพแทสเซียมช่วยควบคุมความดันโลหิต ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ – วิตามินเอและสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี
- ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน – แคลเซียมและแมกนีเซียมช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
- ช่วยบำรุงระบบย่อยอาหาร – ใยอาหารช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
การใช้ฟักทองสีส้มในอาหาร
- อาหารคาว: แกงเลียง แกงเผ็ด ผัดฟักทอง ต้มจืดฟักทอง
- อาหารหวาน: ฟักทองแกงบวด สังขยาฟักทอง ฟักทองเชื่อม
- ขนมและเบเกอรี่: เค้กฟักทอง พายฟักทอง พุดดิ้งฟักทอง
- เครื่องดื่ม: นมฟักทอง สมูทตี้ฟักทอง
- อาหารแปรรูป: ฟักทองอบแห้ง แป้งฟักทอง น้ำมันเมล็ดฟักทอง
วิธีปลูกและดูแลฟักทองสีส้ม
- การเลือกดิน – ดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี มีความเป็นกรด-ด่างที่เหมาะสม (pH 5.5-7.0)
- แสงแดด – ควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดเต็มวัน
- การรดน้ำ – ควรรดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า แต่หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป
- การใส่ปุ๋ย – ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เสริมธาตุอาหาร
- การผสมเกสร – ฟักทองต้องอาศัยแมลงในการผสมเกสร หากแมลงน้อย ควรช่วยผสมเกสรด้วยมือ
- การป้องกันโรคและแมลง – โรคที่พบบ่อยได้แก่ โรคราน้ำค้าง โรคราแป้ง และแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนเจาะผลและเพลี้ยไฟ
- การเก็บเกี่ยว – สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 90-120 วัน หรือเมื่อเปลือกแข็งและขั้วเริ่มแห้ง
การเก็บรักษาฟักทองสีส้ม
- เก็บในที่แห้งและเย็น – สามารถเก็บไว้ได้นานหลายเดือน
- แช่เย็น – หากหั่นแล้ว ควรเก็บในตู้เย็นและใช้ให้หมดภายใน 1 สัปดาห์
- แช่แข็ง – ฟักทองสามารถบดแล้วแช่แข็งเพื่อใช้ในอนาคต
- การอบแห้ง – ทำให้ฟักทองแห้งสามารถเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น
ข้อควรระวัง
- การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ผิวเหลือง – เนื่องจากฟักทองมีเบต้าแคโรทีนสูง
- ผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหารควรระวัง – การบริโภคฟักทองมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง
- การเลือกฟักทองคุณภาพดี – ควรเลือกฟักทองที่มีเปลือกแข็งและไม่มีรอยช้ำ
สรุป
ฟักทองสีส้ม (Cucurbita spp.) เป็นพืชที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีรสชาติอร่อย และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย การปลูกฟักทองสีส้มสามารถทำได้ง่ายและให้ผลผลิตดีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ฟักทองไม่เพียงแต่เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ยังสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มได้อีกด้วย