ผักเคล (Kale)

ผักเคล (Brassica oleracea var. acephala) เป็นผักใบเขียวที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ เนื่องจากมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เช่น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ ผักเคลยังมีแคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง และสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย จนได้รับฉายาว่า “ราชินีแห่งผักใบเขียว”


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Brassica oleracea var. acephala
  • วงศ์: Brassicaceae (ตระกูลเดียวกับกะหล่ำปลีและบรอกโคลี)
  • ลำต้น: ตั้งตรงหรือกึ่งเลื้อย ลำต้นแข็งแรง
  • ใบ: มีลักษณะหยิกหรือเรียบ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ สีของใบมีตั้งแต่เขียวเข้มไปจนถึงม่วง
  • ดอก: สีเหลือง ออกเป็นช่อเมื่อพืชเข้าสู่ระยะออกดอก
  • รสชาติ: ขมน้อยกว่าผักตระกูลเดียวกัน เช่น คะน้า แต่มีรสชาติเฉพาะตัว
ผักเคล (Kale)
ผักเคล (Kale)

สายพันธุ์ของผักเคลที่นิยมปลูก

  1. เคลใบหยิก (Curly Kale) – ใบมีลักษณะหยิกและหนา สีเขียวเข้มหรือม่วงเข้ม นิยมใช้ในสลัดและสมูทตี้
  2. เคลไดโนเสาร์ (Lacinato Kale) – ใบยาวเรียบ สีเขียวเข้ม พื้นผิวขรุขระเล็กน้อย ขมน้อยกว่าพันธุ์อื่น
  3. เคลไซบีเรียน (Siberian Kale) – ใบอ่อนและมีรสชาติหวานกว่าพันธุ์อื่น นิยมใช้ในซุปและผัด

คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)

  • พลังงาน: 50 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต: 8.8 กรัม
  • โปรตีน: 4.3 กรัม
  • ไขมัน: 0.9 กรัม
  • ใยอาหาร: 3.6 กรัม
  • วิตามินเอ: 10300 IU (ช่วยบำรุงสายตาและผิวหนัง)
  • วิตามินซี: 120 มิลลิกรัม (เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน)
  • วิตามินเค: 817 ไมโครกรัม (ช่วยบำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต)
  • แคลเซียม: 150 มิลลิกรัม (ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน)
  • ธาตุเหล็ก: 1.5 มิลลิกรัม (ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง)

ประโยชน์ของผักเคล

  1. ช่วยบำรุงสายตา – เบต้าแคโรทีนและลูทีนช่วยป้องกันจอประสาทตาเสื่อม
  2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามินซีสูงช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันหวัด
  3. ช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง – มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการอักเสบและยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
  4. ช่วยบำรุงกระดูก – แคลเซียมและวิตามินเคช่วยให้กระดูกแข็งแรง
  5. ช่วยลดความดันโลหิต – โพแทสเซียมในเคลช่วยควบคุมความดันโลหิต
  6. ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย – ไฟเบอร์ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี
  7. ช่วยควบคุมน้ำหนัก – แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง ทำให้อิ่มนานขึ้น

วิธีการรับประทานผักเคล

  • สลัด – ใช้ใบสดหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ผสมกับน้ำสลัด
  • สมูทตี้ – ปั่นกับกล้วย แอปเปิล และน้ำมะนาว
  • ซุป – ใส่ในซุปเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
  • เคลอบกรอบ – อบในเตาอบด้วยน้ำมันมะกอกและเกลือ
  • ผัด – นำไปผัดกับกระเทียมและน้ำมันมะกอก

วิธีปลูกและดูแลผักเคล

  1. การเลือกดิน – ใช้ดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี ค่า pH ที่เหมาะสมคือ 6.0-7.5
  2. แสงแดด – ต้องการแสงแดดวันละ 6-8 ชั่วโมง
  3. การรดน้ำ – รดน้ำวันละครั้ง หลีกเลี่ยงการรดน้ำมากเกินไป
  4. การใส่ปุ๋ย – ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยมูลไส้เดือนหรือปุ๋ยคอก
  5. การเก็บเกี่ยว – สามารถเริ่มเก็บใบได้เมื่ออายุ 50-70 วัน โดยเก็บใบจากล่างขึ้นบน

การเก็บรักษาผักเคล

  • เก็บในตู้เย็น – ใส่ในถุงพลาสติกที่มีรูระบายอากาศ และเก็บในช่องผักได้นาน 5-7 วัน
  • แช่แข็ง – ลวกในน้ำเดือด 2 นาที แล้วนำไปแช่แข็งเพื่อเก็บไว้ใช้ได้นานขึ้น
  • อบแห้ง – ทำเป็นเคลอบกรอบและเก็บในภาชนะปิดสนิท

ข้อควรระวัง

  • ไม่ควรรับประทานดิบมากเกินไป – มีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ที่อาจรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์
  • ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน – เพื่อลดสารเคมีตกค้าง
  • ผู้ที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือดควรระวัง – วิตามินเคสูงอาจมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

สรุป

ผักเคล (Brassica oleracea var. acephala) เป็นผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีรสชาติอร่อย ขมน้อยกว่าผักตระกูลเดียวกัน เช่น คะน้า และสามารถนำไปใช้ในเมนูอาหารต่าง ๆ ได้หลากหลาย การปลูกผักเคลทำได้ง่ายและให้ผลผลิตเร็ว ทำให้เป็นพืชที่ควรมีไว้ในสวนครัว การบริโภคผักเคลอย่างเหมาะสมจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพและทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น