การทำนาเปียกสลับแห้ง (Alternate Wetting and Drying – AWD) เป็นเทคนิคการจัดการน้ำในแปลงนาข้าวที่ช่วยลดปริมาณการใช้น้ำโดยไม่กระทบต่อผลผลิต ระบบนี้ได้รับการพัฒนาโดย International Rice Research Institute (IRRI) และเริ่มนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย

เทคนิคนี้ช่วยให้เกษตรกรสามารถ ลดการใช้น้ำได้ถึง 25-40% ในขณะที่ยังคงรักษาปริมาณและคุณภาพผลผลิตข้าวได้เท่าเดิมหรือลดลงเพียงเล็กน้อย นอกจากนี้ ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Methane – CH₄) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน


หลักการของการทำนาเปียกสลับแห้ง

การทำนาเปียกสลับแห้งคือ การบริหารจัดการน้ำโดยปล่อยให้น้ำในแปลงนาแห้งเป็นช่วงๆ แล้วจึงเติมน้ำกลับเข้าไปเมื่อระดับน้ำในดินลดลงถึงระดับที่กำหนด วิธีนี้ช่วยให้รากข้าวเติบโตแข็งแรงขึ้น และลดปัญหาต่างๆ ที่เกิดจากการขังน้ำตลอดเวลา

ขั้นตอนสำคัญของการทำนาเปียกสลับแห้ง

1. การเตรียมแปลงนา

  • ปรับระดับพื้นที่นาให้เรียบเสมอกันเพื่อลดปัญหาการขังน้ำไม่สม่ำเสมอ
  • ติดตั้ง ท่อวัดระดับน้ำ (AWD Tube) ขนาด 4 นิ้ว ยาว 25 ซม. ฝังลึกลงไปในดิน 20 ซม.

2. การจัดการน้ำในช่วงต่างๆ

  • ช่วงปลูกข้าว (7-10 วันแรก):
    • ขังน้ำลึกประมาณ 5 ซม. เพื่อช่วยให้ต้นข้าวตั้งตัว
  • ช่วงเจริญเติบโต:
    • ปล่อยให้น้ำลดระดับลงจนดินเริ่มแห้ง (ระดับน้ำในท่อลดลงถึง 15 ซม.)
    • เติมน้ำกลับขึ้นมาให้อยู่ที่ระดับ 5 ซม. แล้วปล่อยให้แห้งอีก
    • ทำซ้ำจนข้าวเข้าสู่ช่วงตั้งท้อง
  • ช่วงตั้งท้อง – ออกรวง:
    • ควรรักษาระดับน้ำไว้ที่ 5-10 ซม.
  • ช่วงก่อนเก็บเกี่ยว (10-15 วันก่อนเกี่ยวข้าว):
    • ระบายน้ำออกจากแปลงนา เพื่อให้เมล็ดข้าวสุกสม่ำเสมอ

ข้อดีของการทำนาเปียกสลับแห้ง

ประหยัดน้ำได้ถึง 25-40% – เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำ
ช่วยลดต้นทุนการผลิต – ลดการใช้ปุ๋ยเคมี สารกำจัดวัชพืช และค่าไฟฟ้าสำหรับสูบน้ำ
เพิ่มความแข็งแรงของรากข้าว – ทำให้ต้นข้าวแข็งแรง ลดปัญหาการล้มง่าย
ลดการเกิดโรคและแมลงศัตรูพืช – ลดปัญหาโรคที่เกิดจากการขังน้ำ เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลและโรคขอบใบแห้ง
ลดการปล่อยก๊าซมีเทน (Methane – CH₄) ได้ถึง 30% – ลดภาวะโลกร้อน


ข้อควรระวังและวิธีแก้ไข

วัชพืชเจริญเติบโตเร็วขึ้น – ควรใช้วิธีปลูกข้าวแบบหยอดเมล็ด หรือควบคุมด้วยการถอนวัชพืช
ต้องมีการติดตามระดับน้ำอย่างใกล้ชิด – เกษตรกรต้องสังเกตระดับน้ำในท่อเป็นประจำ
อาจต้องปรับปริมาณปุ๋ย – ควรแบ่งใส่ปุ๋ยเป็นช่วงๆ ตามความต้องการของต้นข้าว


เหมาะกับพื้นที่ไหนบ้าง?

✅ พื้นที่ที่มีปัญหาการขาดแคลนน้ำ
✅ พื้นที่ที่มีการจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ เช่น นาข้าวที่มีระบบชลประทาน
✅ ฟาร์มที่ต้องการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต


เปรียบเทียบการทำนาเปียกสลับแห้งกับการปลูกข้าวแบบดั้งเดิม

ปัจจัยนาเปียกสลับแห้งนาแบบขังน้ำตลอดเวลา
การใช้น้ำน้อยกว่า 25-40%ใช้น้ำมาก
ผลผลิตข้าวใกล้เคียงกัน หรือสูงขึ้นในบางพื้นที่คงที่
ความแข็งแรงของต้นข้าวแข็งแรง รากหยั่งลึกรากตื้น อ่อนแอกว่า
ต้นทุนปุ๋ยและสารเคมีลดลงสูงกว่า
ปัญหาโรคแมลงลดลงมีโอกาสเกิดมากขึ้น
การปล่อยก๊าซมีเทนลดลง 30%สูงกว่า

สรุป

การทำนาเปียกสลับแห้ง เป็นแนวทางการปลูกข้าวที่ช่วยประหยัดน้ำ ลดต้นทุน และเพิ่มความแข็งแรงของต้นข้าว อีกทั้งยังช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้เป็นเทคนิคที่เหมาะสำหรับอนาคตของการเกษตรที่ยั่งยืน เกษตรกรที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการปลูกข้าว ควรพิจารณานำระบบนี้มาใช้เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม