ซูกินี (Zucchini) เป็นผักที่อยู่ในตระกูลแตง (Cucurbitaceae) เช่นเดียวกับแตงกวาและฟักทอง มีลักษณะคล้ายแตงกวา แต่มีเนื้อแน่นและผิวเรียบเนียนกว่า ซูกินีเป็นผักที่ได้รับความนิยมในอาหารยุโรปและอเมริกา โดยเฉพาะในอาหารอิตาเลียน ซูกินีมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย จึงเป็นที่นิยมของผู้ที่รักสุขภาพ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucurbita pepo
- วงศ์: Cucurbitaceae
- ลำต้น: เป็นไม้เถาสั้นหรือกึ่งพุ่มเตี้ย
- ใบ: ขนาดใหญ่ สีเขียว มีรอยหยักตามขอบ
- ดอก: สีเหลืองสด ขนาดใหญ่ สามารถนำมารับประทานได้
- ผล: รูปทรงกระบอก ยาวประมาณ 15-25 ซม. เปลือกสีเขียวเข้ม สีเหลือง หรือสีขาว ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- เนื้อ: สีขาวนวล มีรสอ่อนและเนื้อแน่น
- เมล็ด: ขนาดเล็ก แบน สีขาว

คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)
- พลังงาน: 17 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต: 3.1 กรัม
- โปรตีน: 1.2 กรัม
- ไขมัน: 0.3 กรัม
- ใยอาหาร: 1 กรัม
- วิตามินเอ: 200 IU (ช่วยบำรุงสายตาและผิวหนัง)
- วิตามินซี: 17 มิลลิกรัม (เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน)
- โพแทสเซียม: 261 มิลลิกรัม (ช่วยควบคุมความดันโลหิต)
- แคลเซียม: 16 มิลลิกรัม (ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน)
- ธาตุเหล็ก: 0.4 มิลลิกรัม (ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง)
ประโยชน์ของซูกินี
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ – ซูกินีมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งช่วยลดการเสื่อมของเซลล์ผิว
- ช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหาร – ใยอาหารในซูกินีช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ช่วยลดน้ำหนัก – มีแคลอรี่ต่ำและน้ำสูง ทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – ไฟเบอร์ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในร่างกาย
- บำรุงสายตา – มีลูทีน ซีแซนทีน และวิตามินเอ ที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาเสื่อม
- เสริมสุขภาพหัวใจ – อุดมไปด้วยโพแทสเซียมและไฟเบอร์ที่ช่วยลดความดันโลหิต
- ช่วยบำรุงกระดูก – มีแมกนีเซียม วิตามินเค และโฟเลต ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก
วิธีนำซูกินีไปใช้ในอาหาร
- สลัด – หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ และรับประทานสด
- ผัด – ผัดกับกระเทียมและน้ำมันมะกอก
- ซุป – ใส่ในซุปเพื่อเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการ
- ย่างหรืออบ – หั่นเป็นชิ้นหนาและย่างบนเตา หรืออบในเตาอบ
- ซูกินีเส้น (Zoodles) – ใช้แทนเส้นพาสต้าเพื่อเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ
- ทอด – ทำเป็นซูกินีชุบแป้งทอด หรือฟริตเตอร์
วิธีปลูกและดูแลซูกินี
- การเลือกดิน – ใช้ดินร่วนซุยที่ระบายน้ำดี มีค่า pH 6.0-7.5
- แสงแดด – ควรปลูกในที่ที่มีแสงแดดเต็มวัน
- การรดน้ำ – ควรรดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า แต่หลีกเลี่ยงการให้น้ำมากเกินไป
- การใส่ปุ๋ย – ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เสริมธาตุอาหาร
- การผสมเกสร – ซูกินีต้องอาศัยแมลงในการผสมเกสร หากแมลงน้อย ควรช่วยผสมเกสรด้วยมือ
- การป้องกันโรคและแมลง – ควรระวังโรคเชื้อรา เพลี้ยไฟ และแมลงศัตรูพืช
- การเก็บเกี่ยว – สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีขนาดประมาณ 15-25 ซม. หรืออายุประมาณ 45-60 วันหลังปลูก

การเก็บรักษาซูกินี
- เก็บในที่แห้งและเย็น – สามารถเก็บไว้ได้นาน 1-2 สัปดาห์
- แช่เย็น – ควรเก็บในช่องผักของตู้เย็นเพื่อรักษาความสด
- แช่แข็ง – สามารถหั่นเป็นชิ้นแล้วแช่แข็งเพื่อใช้ในอนาคต
- การอบแห้ง – สามารถนำไปอบแห้งเพื่อใช้ได้นานขึ้น
ข้อควรระวัง
- ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน – เพื่อลดสารเคมีตกค้าง
- ไม่ควรรับประทานดิบมากเกินไป – อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด
- ควรเลือกซูกินีที่สดใหม่ – ควรเลือกผลที่แข็ง ไม่มีรอยช้ำ หรือรอยบุบ
สรุป
ซูกินี (Zucchini) เป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย นอกจากจะมีแคลอรี่ต่ำและใยอาหารสูงแล้ว ยังช่วยบำรุงสุขภาพในหลายด้าน เช่น บำรุงผิวพรรณ เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนัก การปลูกซูกินีก็ทำได้ง่ายและให้ผลผลิตเร็ว ทำให้เป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกไว้รับประทานเองที่บ้าน