ผักกูด (Vegetable Fern)

ผักกูด (Diplazium esculentum) หรือที่รู้จักในภาษาอังกฤษว่า Vegetable Fern เป็นผักพื้นบ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มเฟิร์น มีลักษณะเฉพาะที่ใบอ่อนม้วนเป็นเกลียวคล้ายก้นหอย พบได้ทั่วไปตามพื้นที่ชื้นแฉะ เช่น ริมลำธาร หรือพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เป็นผักที่นิยมรับประทานและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง อีกทั้งยังเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของผักกูด

  • ลำต้น: เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตได้ดีในพื้นที่ชื้น ลำต้นเป็นเหง้าหรือไหลใต้ดิน สามารถแตกกอและเจริญเติบโตเป็นกลุ่มใหญ่
  • ใบ: เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น สีเขียวสด ขอบใบหยัก ใบอ่อนม้วนงอคล้ายก้นหอย
  • การขยายพันธุ์: ขยายพันธุ์โดยการแตกหน่อจากไหลใต้ดิน หรือใช้สปอร์ที่อยู่ใต้ใบเจริญเติบโตเป็นต้นอ่อนใหม่
ผักกูด (Vegetable Fern)

คุณค่าทางโภชนาการของผักกูด

ผักกูดอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยในปริมาณ 100 กรัม มีสารอาหารดังนี้:

สารอาหารปริมาณ
พลังงาน25 กิโลแคลอรี
น้ำ93.7 กรัม
โปรตีน1.7 กรัม
ไขมัน0.4 กรัม
คาร์โบไฮเดรต3.6 กรัม
ใยอาหาร1.4 กรัม
แคลเซียม5 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส35 มิลลิกรัม
ธาตุเหล็ก36.3 มิลลิกรัม
เบต้าแคโรทีน681 ไมโครกรัม
วิตามินเอ113 ไมโครกรัม
วิตามินซี15 มิลลิกรัม

สรรพคุณของผักกูดต่อสุขภาพ

  • บำรุงโลหิต: มีธาตุเหล็กสูงช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: อุดมไปด้วยวิตามินซีช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
  • บำรุงสายตา: มีวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนสูงช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางตา
  • ช่วยระบบย่อยอาหาร: ใยอาหารสูงช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้
  • ลดความดันโลหิต: มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
  • ขับปัสสาวะ: มีฤทธิ์ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

เมนูอาหารจากผักกูด

ผักกูดสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น:

  • ยำผักกูด – นำยอดอ่อนของผักกูดลวกแล้วยำกับกุ้งสดหรือหมูสับ
  • ผัดผักกูดน้ำมันหอย – ผัดกับกระเทียมและน้ำมันหอยให้รสชาติอร่อยกลมกล่อม
  • แกงส้มผักกูด – ใส่ในแกงส้มเพื่อเพิ่มความอร่อยและคุณค่าทางโภชนาการ
  • แกงเลียงผักกูด – ใช้แทนผักอื่นในแกงเลียง ช่วยเพิ่มความหวานและกลิ่นหอม
  • ต้มจืดผักกูด – ใส่ในซุปหรือต้มจืดร่วมกับเต้าหู้และหมูสับ

วิธีปลูกผักกูด

การปลูกผักกูดสามารถทำได้ง่ายและเหมาะสำหรับการเพาะปลูกในพื้นที่ชื้นหรือในกระถาง

  1. เลือกสถานที่ปลูก: ผักกูดเจริญเติบโตได้ดีในที่ร่มหรือบริเวณที่มีความชื้นสูง เช่น ริมลำธาร
  2. การเตรียมดิน: ใช้ดินร่วนซุยที่อุดมไปด้วยสารอาหารและมีความชื้นตลอดเวลา
  3. การเพาะปลูก:
    • ใช้วิธีการแตกหน่อจากไหลใต้ดิน
    • หรือใช้สปอร์ที่อยู่ใต้ใบขยายพันธุ์
  4. การรดน้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอเพื่อรักษาความชื้น
  5. การใส่ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อบำรุงดินและช่วยให้ต้นเติบโตแข็งแรง
  6. การเก็บเกี่ยว: สามารถเก็บเกี่ยวใบหรือยอดอ่อนเพื่อนำไปปรุงอาหารได้เมื่ออายุประมาณ 45-60 วัน

ข้อควรระวังในการบริโภค

  • ไม่ควรรับประทานดิบ: ผักกูดมีสารออกซาเลตสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนิ่ว ควรปรุงสุกก่อนรับประทาน
  • ผู้ที่มีโรคไตควรระวัง: อาจมีผลกระทบต่อระดับแร่ธาตุในร่างกาย
  • การล้างทำความสะอาด: ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทานเพื่อลดสารพิษหรือสารตกค้างจากแหล่งน้ำ

สรุป

ผักกูดเป็นพืชผักพื้นบ้านที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลากหลาย สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลายเมนู ทั้งยังสามารถปลูกได้ง่ายในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ผักกูดยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเป็นแหล่งของสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกาย หากต้องการรับประทานผักกูดอย่างปลอดภัย ควรปรุงสุกก่อนและเลือกรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม