แตงไทย (Cucumis melo) เป็นพืชในตระกูล Cucurbitaceae เช่นเดียวกับแตงโมและแตงกวา เป็นพืชผลที่นิยมปลูกและรับประทานในประเทศไทยมาช้านาน แตงไทยสามารถรับประทานได้ทั้งผลอ่อนและผลสุก ให้รสชาติหวานหอม อีกทั้งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง นอกจากจะนิยมบริโภคเป็นของหวานแล้ว ยังสามารถนำไปใช้ในตำรับยาแผนไทยได้อีกด้วย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

  • ชื่อวิทยาศาสตร์: Cucumis melo
  • วงศ์: Cucurbitaceae
  • ลำต้น: เป็นเถาเลื้อย มีขนอ่อนปกคลุม
  • ใบ: ใบเดี่ยวขนาดใหญ่ ขอบใบหยัก ก้านใบยาว
  • ดอก: สีเหลือง มีกลีบดอก 5 กลีบ
  • ผล: รูปร่างกลมหรือรี ผลอ่อนมีสีเขียวลายขาว เมื่อสุกเปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง มีผิวเรียบและเป็นมัน เนื้อในสีเหลืองอ่อนอมเขียว และมีกลิ่นหอม
  • เมล็ด: ขนาดเล็ก รูปทรงรียาว สีขาวนวล

คุณค่าทางโภชนาการ (ต่อ 100 กรัม)

  • พลังงาน: 35 กิโลแคลอรี
  • น้ำ: 90%
  • คาร์โบไฮเดรต: 8.1 กรัม
  • โปรตีน: 0.8 กรัม
  • ไขมัน: 0.1 กรัม
  • ใยอาหาร: 1.2 กรัม
  • วิตามินเอ: 3380 IU (ช่วยบำรุงสายตาและผิวหนัง)
  • วิตามินซี: 36 มิลลิกรัม (เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน)
  • โพแทสเซียม: 267 มิลลิกรัม (ช่วยควบคุมความดันโลหิต)
  • แคลเซียม: 14 มิลลิกรัม (ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน)

ประโยชน์ของแตงไทย

  1. ช่วยบำรุงผิวพรรณ – วิตามินเอและซีช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวกระจ่างใส
  2. ช่วยในการย่อยอาหาร – ใยอาหารในแตงไทยช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
  3. ช่วยดับกระหายและเพิ่มความสดชื่น – เนื่องจากมีปริมาณน้ำสูง ทำให้แตงไทยช่วยคืนความชุ่มชื้นให้ร่างกาย
  4. ช่วยบำรุงสายตา – เบต้าแคโรทีนในแตงไทยช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม
  5. เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – วิตามินซีช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเสี่ยงของโรคติดเชื้อ
  6. ช่วยขับปัสสาวะ – มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะและลดอาการบวมน้ำ
  7. ช่วยลดความดันโลหิต – โพแทสเซียมช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกายและลดความดันโลหิต

วิธีนำแตงไทยไปใช้ในอาหาร

  • ผลอ่อน: สามารถนำมาประกอบอาหาร เช่น แกงส้ม ผัด หรือรับประทานสดกับน้ำพริก
  • ผลสุก: นิยมใช้ทำขนมไทย เช่น น้ำกะทิแตงไทย น้ำแตงไทยปั่น หรือรับประทานสด
  • เมล็ด: เมล็ดแก่สามารถนำมาคั่วรับประทานเป็นของว่าง หรือใช้เป็นยาสมุนไพรช่วยขับปัสสาวะ

วิธีปลูกและดูแลแตงไทย

  1. การเลือกดิน – แตงไทยชอบดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี ค่า pH ประมาณ 5.5-6.5
  2. แสงแดด – ควรปลูกในที่ที่ได้รับแสงแดดเต็มวัน
  3. การรดน้ำ – ควรรดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า หลีกเลี่ยงน้ำขัง
  4. การใส่ปุ๋ย – ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มสารอาหารให้ดิน
  5. การผสมเกสร – แตงไทยต้องอาศัยแมลงผสมเกสร หากแมลงน้อย ควรช่วยผสมเกสรด้วยมือ
  6. การป้องกันโรคและแมลง – โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคราน้ำค้าง เพลี้ยไฟ และแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนเจาะเถา
  7. การเก็บเกี่ยว – สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 60-80 วันหลังปลูก หรือเมื่อผลมีสีเหลืองทองและส่งกลิ่นหอม

แหล่งปลูกแตงไทยในประเทศไทย

แตงไทยสามารถปลูกได้ทั่วประเทศ แต่พื้นที่ที่นิยมปลูก ได้แก่:

  • ภาคกลาง: จังหวัดนครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี และพระนครศรีอยุธยา
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี
  • ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน พิษณุโลก
  • ภาคใต้: จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช

ฤดูปลูกแตงไทย

  • ฤดูแล้ง (พฤศจิกายน – เมษายน): แตงไทยเจริญเติบโตได้ดีในช่วงอากาศแห้ง
  • ฤดูฝน (พฤษภาคม – ตุลาคม): ควรปลูกในพื้นที่ที่มีการระบายน้ำดี เพื่อลดปัญหาโรครากเน่า

ตลาดและการจำหน่ายแตงไทย

แตงไทยเป็นผลไม้ที่มีตลาดรองรับทั้งในประเทศและส่งออก โดยแบ่งเป็น:

  1. ตลาดภายในประเทศ
    • ตลาดสด ซูเปอร์มาร์เก็ต และห้างสรรพสินค้า
    • โรงงานแปรรูปอาหาร เช่น อุตสาหกรรมขนมหวานและเครื่องดื่ม
    • ร้านอาหารที่ใช้แตงไทยเป็นส่วนประกอบ
  2. ตลาดส่งออก
    • แตงไทยไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปยังตลาดเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้
    • นิยมส่งออกในรูปแบบแตงไทยสด และแตงไทยแปรรูป เช่น น้ำแตงไทย และแตงไทยอบแห้ง

ข้อควรระวัง

  • ควรล้างให้สะอาดก่อนบริโภค – เพื่อลดสารเคมีตกค้าง
  • ไม่ควรรับประทานแตงไทยสุกในปริมาณมากเกินไป – อาจทำให้ท้องเสียในบางคน
  • ควรเลือกแตงไทยที่มีเปลือกแข็ง ไม่มีรอยช้ำ – เพื่อให้ได้ผลที่มีคุณภาพดี

สรุป

แตงไทย (Thai Melon) เป็นผลไม้พื้นบ้านของไทยที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งในอาหารคาว หวาน และตำรับยาแผนไทย การปลูกแตงไทยสามารถทำได้ง่ายและให้ผลผลิตเร็ว จึงเป็นพืชที่เหมาะสำหรับการเพาะปลูกในครัวเรือนและเชิงพาณิชย์