เผือก (Colocasia esculenta var. antiquorum) ภาษาอังกฤษเรียก Taro เป็นพืชหัวที่อยู่ในวงศ์ Araceae เช่นเดียวกับบอนและตูน มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแพร่กระจายไปทั่วโลก เผือกได้รับความนิยมในการบริโภคเพราะเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตที่สำคัญ และสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลากหลาย ทั้งในเมนูคาวและหวาน
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของเผือก
- ลำต้น: เผือกเป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าใต้ดิน หรือที่เรียกว่าหัวเผือก ซึ่งเป็นแหล่งสะสมอาหารหลัก
- ใบ: ใบมีลักษณะคล้ายหัวใจ สีเขียวเข้ม มีขอบเรียบ ผิวใบเป็นมัน
- ก้านใบ: ก้านใบยาว อาจมีสีเขียวหรือม่วง ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- ราก: มีรากฝอยจำนวนมากเพื่อช่วยดูดซับน้ำและสารอาหาร

ประเภทของเผือก
เผือกมีหลายสายพันธุ์ โดยสามารถจำแนกตามลักษณะของหัวและการนำไปใช้ ดังนี้:
- เผือกหอม – เป็นเผือกที่มีขนาดกลางถึงใหญ่ เนื้อละเอียด หวานหอม มักใช้ทำขนม
- เผือกไต้หวัน – มีขนาดใหญ่ เนื้อแน่น นิยมใช้ในอาหารคาวและหวาน
- เผือกเหลือง – มีสีเหลืองอ่อน เนื้อเหนียวนุ่ม เหมาะกับการทำขนม
- เผือกน้ำ – ขนาดเล็ก เนื้อเหนียว ใช้ทำไส้ซาลาเปา หรือขนมหวาน
วิธีปลูกเผือก
เผือกเป็นพืชที่ปลูกง่าย และสามารถเติบโตได้ดีในดินที่มีความชื้นสูง โดยมีขั้นตอนดังนี้:
1. การเตรียมดิน
- ควรเลือกดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี และอุดมไปด้วยอินทรียวัตถุ
- หากปลูกในที่ลุ่ม ควรมีการจัดการน้ำที่ดีเพื่อป้องกันน้ำขัง
2. การปลูก
- ใช้หัวเผือกหรือหน่อที่มีตาติดอยู่ ปักลงในดินให้ลึกประมาณ 10-15 ซม.
- ควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50-70 ซม. เพื่อให้ต้นเติบโตได้ดี
3. การดูแล
- รดน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้หัวเผือกเน่า
- ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ทุก 2-3 สัปดาห์ เพื่อเสริมธาตุอาหาร
- ควรกำจัดวัชพืชรอบ ๆ ต้นเพื่อป้องกันศัตรูพืช
4. การเก็บเกี่ยว
- เผือกสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 7-10 เดือน
- ใช้จอบขุดหัวเผือกขึ้นมา ระวังอย่าให้หัวเสียหาย
- นำหัวเผือกมาล้างและตากให้แห้งก่อนนำไปจำหน่ายหรือบริโภค

ประโยชน์ของเผือก
1. ใช้เป็นอาหาร
- เผือกสามารถนำไปทำเมนูได้หลากหลาย เช่น
- เผือกทอด – เผือกฝานเป็นแผ่น ทอดให้กรอบ
- บัวลอยเผือก – ขนมไทยที่ใช้เผือกเป็นส่วนผสมหลัก
- เผือกต้มกะทิ – ขนมหวานที่ได้รับความนิยม
- แกงเผือก – ใช้เป็นส่วนประกอบในแกงเผ็ดหรือแกงป่า
2. คุณค่าทางโภชนาการ
เผือกเป็นแหล่งของสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่:
- คาร์โบไฮเดรต – ให้พลังงานสูง ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
- ไฟเบอร์ – ช่วยปรับปรุงระบบขับถ่ายและลดอาการท้องผูก
- วิตามินซี – ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- โพแทสเซียม – ช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
- แมกนีเซียม – ช่วยบำรุงกล้ามเนื้อและระบบประสาท
3. ใช้เป็นสมุนไพร
- ใช้บรรเทาอาการอักเสบ และช่วยรักษาแผล
- น้ำเผือกใช้พอกผิวเพื่อลดอาการคันจากพิษแมลงกัดต่อย
- หัวเผือกมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
ข้อควรระวังในการบริโภคเผือก
- ควรปรุงสุกก่อนรับประทานเสมอ เพราะเผือกดิบมีสารแคลเซียมออกซาเลตที่อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง
- ไม่ควรรับประทานเผือกที่ขึ้นรา หรือเน่าเสีย เพราะอาจมีสารพิษปนเปื้อน
- ผู้ที่เป็นโรคไตควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากเผือกมีโพแทสเซียมสูง
การนำเผือกไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ
นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว เผือกยังสามารถนำไปใช้ในด้านอื่น ๆ ได้ เช่น:
- ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมอาหาร – แป้งเผือกสามารถนำไปทำเป็นขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป
- ใช้เป็นอาหารสัตว์ – ใบเผือกสามารถนำไปใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงบางชนิด
- ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับ – เผือกบางสายพันธุ์ เช่น เผือกสีม่วง นิยมปลูกเพื่อความสวยงาม
สรุป
เผือก (Colocasia esculenta var. antiquorum) เป็นพืชที่มีประโยชน์หลากหลาย สามารถนำมาใช้เป็นอาหารหลัก สมุนไพร และวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นพืชที่ปลูกง่าย และสามารถเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกบริโภคเผือกที่ปลอดภัย และปรุงสุกก่อนรับประทานเสมอ เพื่อป้องกันอาการแพ้หรือระคายเคือง เผือกจึงเป็นอีกหนึ่งพืชที่ควรค่าแก่การศึกษาและนำมาใช้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด