มะม่วงแก้วเป็นหนึ่งในสายพันธุ์มะม่วงที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย มีจุดเด่นที่เนื้อกรอบ รสชาติเปรี้ยวอมหวาน สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก โดยเฉพาะเมื่อดิบ มะม่วงแก้วจะมีความกรอบอร่อย นิยมใช้ทำส้มตำหรือจิ้มกับน้ำปลาหวาน นอกจากนี้ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น มะม่วงแช่อิ่ม มะม่วงกวน และมะม่วงดอง
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของมะม่วงแก้ว
1. ลักษณะต้น
- มะม่วงแก้วเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ มีอายุยืน
- ลำต้นมีเปลือกสีเทาน้ำตาล แตกกิ่งก้านมาก
- เจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้นแบบเขตร้อน
2. ใบ
- ใบมีลักษณะเดี่ยว ออกเรียงสลับกันบริเวณปลายกิ่ง
- รูปทรงรี ปลายใบเรียวแหลม โคนใบมน
- สีใบเขียวเข้มเป็นมัน ผิวใบเรียบ
3. ดอก
- ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด สีเหลืองอ่อนหรือเหลืองอมชมพู
- ดอกมีขนาดเล็กและมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
- ออกดอกในช่วงปลายฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน
4. ผล
- ผลมีลักษณะรีหรือกลมรี ปลายผลแหลม
- เปลือกผลเรียบ สีเขียวเมื่อดิบ และเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเมื่อสุก
- เนื้อแน่น กรอบเมื่อดิบ มีรสเปรี้ยวอมหวานเล็กน้อย
- เมื่อสุก เนื้อจะนุ่ม ฉ่ำน้ำ และมีรสหวานหอม
ที่มาของชื่อ “มะม่วงแก้ว”
ชื่อ “มะม่วงแก้ว” อาจมีที่มาจากลักษณะของเนื้อผลที่มีความใสเล็กน้อยเมื่อสุก คล้ายแก้ว อีกทั้งเมื่อยังดิบ เนื้อผลจะมีความกรอบเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภค
สายพันธุ์มะม่วงแก้วที่นิยม
1. มะม่วงแก้วธรรมดา
- ผลมีขนาดปานกลาง ผิวเรียบ เนื้อกรอบ รสเปรี้ยวอมหวาน
- นิยมรับประทานเป็นมะม่วงดิบ ใช้ทำส้มตำ หรือจิ้มกับน้ำปลาหวาน
2. มะม่วงแก้วขมิ้น
- เป็นพันธุ์ที่มาจากประเทศกัมพูชา ผลมีขนาดใหญ่กว่าแก้วธรรมดา
- เปลือกหนากว่า เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง เนื้อมีสีเหลืองคล้ายขมิ้น
- รสชาติหวานมัน หอม นิยมรับประทานเป็นผลสุก
วิธีการปลูกและการดูแลรักษา
1. การเตรียมดิน
- มะม่วงแก้วเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี
- ไม่ควรปลูกในดินเหนียวหรือพื้นที่ที่มีน้ำขัง
2. การปลูก
- ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นอ่อนสามารถตั้งตัวได้ดี
- ขุดหลุมปลูกขนาด 50-80 ซม. และเว้นระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4-6 เมตร
3. การให้น้ำ
- ควรรดน้ำสม่ำเสมอทุกวันในช่วงแรก
- เมื่อต้นแข็งแรงแล้ว ควรลดการให้น้ำเหลือ 3-4 วันครั้ง
4. การให้ปุ๋ย
- ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักบำรุงดินทุก 3-4 เดือน
- ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตและการออกดอก
5. การป้องกันโรคและแมลง
- โรคที่พบบ่อย ได้แก่ โรคราน้ำค้างและโรคแอนแทรคโนส
- ศัตรูพืชสำคัญ ได้แก่ เพลี้ยไฟและแมลงวันทอง ควรใช้กับดักหรือชีววิธีป้องกัน
ช่วงเวลาเก็บเกี่ยวและการตลาด
- มะม่วงแก้วสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุประมาณ 90-110 วันหลังจากติดผล
- ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 10-25 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพของผล
- เป็นที่นิยมทั้งในตลาดสด ห้างสรรพสินค้า และมีการส่งออกไปยังต่างประเทศ
คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ของมะม่วงแก้ว
คุณค่าทางโภชนาการ
มะม่วงแก้วอุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่น
- วิตามินซี: ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- วิตามินเอ: บำรุงสายตา
- แคลเซียมและฟอสฟอรัส: เสริมสร้างกระดูกและฟัน
- ใยอาหาร: ช่วยระบบขับถ่าย
ประโยชน์ต่อสุขภาพ
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด
- ป้องกันโรคเบาหวานด้วยใยอาหารสูง
- ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหาร
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ
เมนูอาหารจากมะม่วงแก้ว
- ส้มตำมะม่วง – รสเปรี้ยวจัดจ้าน เหมาะสำหรับมะม่วงแก้วดิบ
- มะม่วงน้ำปลาหวาน – ทานกับน้ำปลาหวาน หอมหวานลงตัว
- ยำมะม่วงปลากรอบ – เมนูแซ่บที่ให้รสชาติเปรี้ยวหวานเค็ม
- มะม่วงแช่อิ่ม – แปรรูปเป็นของว่างที่สามารถเก็บได้นาน
- ข้าวเหนียวมะม่วง – ใช้มะม่วงแก้วขมิ้น ให้รสหวานมัน หอมอร่อย
สรุป
มะม่วงแก้วเป็นมะม่วงพันธุ์ยอดนิยมที่มีรสชาติอร่อย เนื้อกรอบมัน สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก การปลูกและดูแลรักษาไม่ยากนัก และเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับอย่างดี เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ต้องการปลูกเพื่อการค้า รวมถึงผู้ที่ต้องการบริโภคมะม่วงที่มีคุณภาพดี