กระชาย (Boesenbergia rotunda) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมทั้งในด้านอาหารและการแพทย์แผนไทย มีเหง้าสีเหลืองถึงน้ำตาลและมีกลิ่นเฉพาะตัว นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในอาหารไทย เช่น ผัดเผ็ด ปลาอินทรีย์ทอด และยังใช้ในการรักษาโรคด้วยคุณสมบัติทางยาหลายประการ เช่น บำรุงร่างกาย ขับลม บรรเทาอาการอักเสบ และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ชื่อเรียกในแต่ละภาคของประเทศไทย
- ภาคเหนือ: หัวละแอน, ละแอน, กะแอน, ระแอน
- ภาคกลาง: กระชาย
- ภาคอีสาน: ขิงกระชาย
- ภาคใต้: กระชาย
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ลำต้น: เป็นพืชล้มลุกที่มีเหง้าใต้ดินเป็นส่วนสะสมอาหาร รูปทรงกระบอก ปลายเรียวแหลม ผิวสีน้ำตาลอ่อน เนื้อในสีเหลืองถึงส้ม
- ใบ: ใบเดี่ยวเรียงสลับ รูปใบหอก กว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15-30 เซนติเมตร สีเขียวเข้ม
- ดอก: ออกเป็นช่อแทรกระหว่างกาบใบ กลีบดอกสีขาวหรือขาวอมชมพู ใจกลางมีเกสรสีเหลือง
- ผล: เป็นผลแห้ง ไม่ค่อยพบในธรรมชาติ เนื่องจากกระชายขยายพันธุ์ด้วยเหง้าเป็นหลัก
ฤดูการปลูกและการเก็บเกี่ยว
- ฤดูปลูก: กระชายสามารถปลูกได้ตลอดปี แต่เติบโตได้ดีที่สุดในช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-มิถุนายน)
- ระยะเวลาในการเติบโต: ใช้เวลาประมาณ 8-10 เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวได้
- การเก็บเกี่ยว: เมื่อลำต้นและใบเริ่มแห้งลง สามารถขุดเก็บเหง้าได้ ทำความสะอาดและนำไปตากแห้งเพื่อการเก็บรักษา
คุณค่าทางโภชนาการ
ในปริมาณ 100 กรัม กระชายประกอบด้วย:
- พลังงาน: 80 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต: 17.5 กรัม
- โปรตีน: 1.5 กรัม
- ไขมัน: 0.8 กรัม
- ใยอาหาร: 1.8 กรัม
- วิตามินซี: 5 มิลลิกรัม
- แคลเซียม: 40 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก: 1.5 มิลลิกรัม
สรรพคุณทางยา
- บำรุงร่างกาย – ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ บำรุงกำลัง และเสริมสมรรถภาพทางเพศ
- รักษาโรคในช่องปาก – บรรเทาอาการปากเปื่อย ปากแห้ง และแผลในปาก
- บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ – มีฤทธิ์ช่วยขับลมและบรรเทาอาการแน่น จุกเสียด
- ช่วยลดการอักเสบ – มีสารออกฤทธิ์ที่ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- ต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส – มีการศึกษาพบว่าสารสกัดจากกระชายขาวมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสบางชนิด
การใช้กระชายในอาหาร
กระชายเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยหลายชนิด เช่น:
- ผัดเผ็ดกระชาย – ใช้กระชายหั่นเป็นเส้นเพิ่มรสชาติและความหอม
- ปลาทอดกระชาย – กระชายสดนำมาผัดพร้อมปลาทอดช่วยเพิ่มรสชาติ
- แกงป่า – ใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องแกง เพิ่มกลิ่นหอม
- น้ำกระชาย – นำกระชายสดมาปั่นหรือต้มเป็นเครื่องดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย
วิธีการแปรรูปกระชาย
- การทำกระชายแห้ง
- ล้างเหง้าให้สะอาดและตากแดดจนแห้งสนิท
- หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วเก็บในภาชนะปิดสนิท
- การทำผงกระชาย
- บดกระชายแห้งให้ละเอียด
- ใช้ชงดื่มหรือผสมในอาหาร
- การทำสารสกัดจากกระชาย
- ใช้กระบวนการสกัดเพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์สำคัญ ใช้ในอุตสาหกรรมยาและอาหารเสริม
วิธีการปลูกกระชาย
- การเตรียมดิน – ใช้ดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี
- การขยายพันธุ์ – ใช้เหง้ากระชายที่มีตาหรือหน่อใหม่ปลูกลงดิน
- การดูแลรักษา – ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ
- การเก็บเกี่ยว – สามารถขุดเก็บเหง้าได้หลังจากปลูกประมาณ 8-10 เดือน
ข้อควรระวัง
- ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม – การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการร้อนในหรือระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับไตหรือตับควรปรึกษาแพทย์ – กระชายอาจมีผลต่อการทำงานของไตและตับ
- สตรีมีครรภ์ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง – อาจมีผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต
สรุป
กระชายเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ทั้งในด้านโภชนาการและการรักษาโรค นิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพิ่มรสชาติและกลิ่นหอมในอาหาร รวมถึงเป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคได้หลากหลาย การใช้กระชายอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสมุนไพรชนิดนี้