เชอรี่กาแฟ (Coffee Cherry)

กาแฟอาราบิก้า (Coffea arabica) เป็นสายพันธุ์กาแฟที่ได้รับความนิยมและปลูกมากที่สุดในโลก คิดเป็นประมาณ 60-70% ของปริมาณกาแฟทั้งหมด มีต้นกำเนิดจากพื้นที่สูงของประเทศเอธิโอเปียและแพร่กระจายไปยังประเทศต่าง ๆ ที่มีสภาพอากาศเหมาะสม เช่น บราซิล โคลอมเบีย เอธิโอเปีย และประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย กาแฟอาราบิก้ามีรสชาติที่ซับซ้อน นุ่มนวล และมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคทั่วโลก


ลักษณะของเมล็ดกาแฟอาราบิก้า

  • รูปทรง: เมล็ดกาแฟอาราบิก้ามีลักษณะรี เรียวยาว
  • เส้นกลางเมล็ด: มีเส้นโค้งเป็นรูปตัว “S” ซึ่งแตกต่างจากกาแฟโรบัสต้าที่เป็นเส้นตรง
  • สี: เมล็ดกาแฟดิบมีสีเขียวอมฟ้า เมื่อผ่านกระบวนการคั่วจะมีสีน้ำตาลเข้ม
  • ปริมาณคาเฟอีน: อยู่ที่ประมาณ 1.2-1.5% ซึ่งต่ำกว่ากาแฟโรบัสต้าที่มีคาเฟอีน 2-4%

รสชาติและกลิ่นของกาแฟอาราบิก้า

กาแฟอาราบิก้ามีรสชาติที่ซับซ้อน หอมหวาน และกลมกล่อม มักมีโน้ตของผลไม้ เบอร์รี่ ดอกไม้ หรือถั่ว ขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและกระบวนการแปรรูป ซึ่งทำให้กาแฟสายพันธุ์นี้เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบกาแฟที่มีรสชาติลึกซึ้งและนุ่มนวล


การปลูกและการดูแลรักษา

ต้นกาแฟอาราบิก้ามีความต้องการสภาพอากาศที่เฉพาะเจาะจงและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ:

  • สภาพอากาศที่เหมาะสม: อุณหภูมิที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 15-24°C ต้องปลูกในพื้นที่ที่มีความสูง 800-2,500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
  • ดิน: ต้องเป็นดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดีและมีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ระหว่าง 5.5-6.5
  • การให้น้ำ: ควรได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรมีน้ำขัง
  • การเก็บเกี่ยว: ใช้เวลาประมาณ 9-11 เดือนหลังจากดอกบาน ผลกาแฟจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มเมื่อสุกเต็มที่

ในประเทศไทย กาแฟอาราบิก้านิยมปลูกในพื้นที่ภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกาแฟสายพันธุ์นี้


ข้อดีและข้อเสียของกาแฟอาราบิก้า

ข้อดี:

  • มีรสชาติที่ซับซ้อนและกลิ่นหอมโดดเด่น
  • มีความหวานและเปรี้ยวในปริมาณที่สมดุล ทำให้ดื่มง่าย
  • มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟโรบัสต้า จึงมีผลกระทบต่อระบบประสาทน้อยกว่า
  • เป็นที่นิยมในตลาดพรีเมียมและกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee)

ข้อเสีย:

  • ต้องปลูกในพื้นที่สูงและต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
  • อ่อนแอต่อโรคพืชและแมลงศัตรูพืช ทำให้ต้องมีการควบคุมดูแลอย่างดี
  • ให้ผลผลิตต่ำกว่ากาแฟโรบัสต้าและมีต้นทุนการผลิตสูงกว่า

การแปรรูปกาแฟอาราบิก้า

กระบวนการแปรรูปกาแฟมีผลต่อรสชาติและกลิ่นของกาแฟอาราบิก้าอย่างมาก โดยมีวิธีการหลัก 3 วิธี ได้แก่:

  1. กระบวนการแบบเปียก (Washed Process)
    • กาแฟที่ผ่านกระบวนการนี้จะมีรสชาติที่สะอาด สดชื่น และเปรี้ยวแบบผลไม้
    • นิยมใช้กับกาแฟพรีเมียมที่ต้องการรักษารสชาติที่ชัดเจน
  2. กระบวนการแบบแห้ง (Natural Process)
    • ใช้วิธีการตากผลกาแฟให้แห้งทั้งเปลือก ทำให้เกิดรสชาติหวานและเข้มข้น
    • มักให้โน้ตของผลไม้และถั่วที่เด่นชัด
  3. กระบวนการแบบกึ่งเปียก (Honey Process)
    • เป็นการผสมผสานระหว่างกระบวนการเปียกและแห้ง ทำให้ได้รสชาติที่สมดุลระหว่างความหวานและความเปรี้ยว
    • มีความเป็นครีมมี่และกลิ่นหอมของน้ำผึ้งหรือผลไม้สุก

ความแตกต่างระหว่างกาแฟอาราบิก้าและโรบัสต้า

คุณสมบัติอาราบิก้า (Arabica)โรบัสต้า (Robusta)
รูปทรงเมล็ดรี เส้นกลางโค้งกลม เส้นกลางตรง
รสชาตินุ่มนวล หอมหวาน เปรี้ยวเล็กน้อยเข้มข้น ขม เฝื่อน ๆ
ปริมาณคาเฟอีนต่ำ (1.2-1.5%)สูงกว่า (2-4%)
การปลูกต้องการพื้นที่สูง อากาศเย็นทนทาน ปลูกได้ในพื้นที่ร้อนชื้น
ความทนทานต่อโรคอ่อนแอ ต้องการดูแลมากทนทานต่อโรคและแมลง

กาแฟอาราบิก้าในอุตสาหกรรมกาแฟ

กาแฟอาราบิก้าเป็นที่นิยมในตลาดกาแฟพรีเมียม โดยมักใช้ใน:

  • กาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) – กาแฟที่มีคุณภาพสูงและผ่านกระบวนการคัดเลือกที่เข้มงวด
  • กาแฟดริป (Drip Coffee) – เน้นรสชาติที่ซับซ้อนและกลิ่นหอมที่ชัดเจน
  • กาแฟลาเต้ และคาปูชิโน่ – ความสมดุลของรสชาติทำให้เหมาะสำหรับเครื่องดื่มกาแฟนม
  • กาแฟคั่วอ่อนและกลาง – เพื่อดึงรสชาติของผลไม้และดอกไม้ออกมาอย่างเด่นชัด

สรุป กาแฟอาราบิก้าเป็นกาแฟสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก เนื่องจากมีรสชาติที่หลากหลาย ซับซ้อน และกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ แม้ว่าจะต้องการการดูแลเป็นพิเศษและมีต้นทุนการผลิตสูง แต่กาแฟอาราบิก้าก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดพรีเมียมและนักดื่มกาแฟที่ต้องการคุณภาพที่ดีที่สุด หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบกาแฟรสชาติกลมกล่อมและมีกลิ่นหอม กาแฟอาราบิก้าคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ