ขมิ้น (Curcuma longa) เป็นพืชสมุนไพรที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านอาหารและการแพทย์แผนไทย มีเหง้าสีเหลืองส้มที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว นิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพิ่มสีสันและรสชาติในอาหาร รวมถึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของตำรับยาสมุนไพรหลายชนิด ขมิ้นชันอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์สำคัญที่มีคุณสมบัติทางยา เช่น สารเคอร์คูมินอยด์ (Curcuminoids) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ และส่งเสริมสุขภาพหลายด้าน
ชื่อเรียกในแต่ละภาคของประเทศไทย
- ภาคเหนือ: ขมิ้น
- ภาคกลาง: ขมิ้น, ขมิ้นชัน
- ภาคอีสาน: ขี้มิ้น
- ภาคใต้: ขมิ้นแกง, ขมิ้นหัว

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
- ลำต้น: เป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน แตกแขนงเป็นหัวคล้ายขิง เปลือกนอกสีน้ำตาล เนื้อในมีสีเหลืองถึงส้มเข้ม
- ใบ: ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ สีเขียวเข้ม
- ดอก: ออกเป็นช่อที่ปลายยอด กลีบดอกสีเหลืองอ่อนหรือสีขาว มีใบประดับสีเขียวอ่อนหรือชมพู
- ผล: เป็นผลแห้ง ไม่ค่อยพบในธรรมชาติเนื่องจากขมิ้นขยายพันธุ์ด้วยเหง้าเป็นหลัก
ฤดูการปลูกและการเก็บเกี่ยว
- ฤดูปลูก: ขมิ้นปลูกได้ดีในช่วงต้นฤดูฝน (พฤษภาคม-มิถุนายน) เนื่องจากต้องการความชื้นสูงในระยะแรกของการเจริญเติบโต
- ระยะเวลาในการเติบโต: ขมิ้นจะใช้เวลาประมาณ 8-12 เดือนจึงสามารถเก็บเกี่ยวได้
- การเก็บเกี่ยว: นิยมเก็บเกี่ยวขมิ้นในช่วงฤดูแล้ง (กุมภาพันธ์-เมษายน) เมื่อลำต้นและใบเริ่มแห้งลง โดยใช้จอบขุดเหง้าและนำมาทำความสะอาด

คุณค่าทางโภชนาการ
ในปริมาณ 100 กรัม ขมิ้นประกอบด้วย:
- พลังงาน: 354 กิโลแคลอรี
- คาร์โบไฮเดรต: 64.9 กรัม
- โปรตีน: 7.8 กรัม
- ไขมัน: 9.9 กรัม
- ไฟเบอร์: 21 กรัม
- แคลเซียม: 183 มิลลิกรัม
- ธาตุเหล็ก: 41.4 มิลลิกรัม
- วิตามินซี: 25.9 มิลลิกรัม
สรรพคุณทางยา
- ต้านการอักเสบ – ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อและกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระ – ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์และป้องกันโรคเรื้อรัง
- บำรุงตับ – ส่งเสริมการทำงานของตับและช่วยขับสารพิษ
- รักษาโรคผิวหนัง – ใช้บรรเทาอาการแพ้ ผื่นคัน กลากเกลื้อน และสิว
- บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ – มีฤทธิ์ช่วยขับลมและกระตุ้นการย่อยอาหาร
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด – มีผลต่อการลดระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน – กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว
การใช้ขมิ้นในอาหาร
ขมิ้นเป็นเครื่องเทศที่ใช้ในอาหารหลายชนิด เช่น:
- แกงเหลือง: แกงใต้ที่มีรสเผ็ดร้อนและใช้ขมิ้นเป็นส่วนประกอบหลัก
- ไก่ทอดขมิ้น: ไก่หมักขมิ้นแล้วทอดจนกรอบ มีกลิ่นหอมและสีเหลืองสวยงาม
- ข้าวหมกไก่: ขมิ้นช่วยเพิ่มสีและกลิ่นหอมให้กับข้าว
- ชาขมิ้น: นำขมิ้นสดหรือขมิ้นผงมาต้มดื่มเพื่อบำรุงสุขภาพ

วิธีการแปรรูปขมิ้น
- การทำขมิ้นผง
- ล้างเหง้าให้สะอาดและตากแดดจนแห้งสนิท
- หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วบดให้ละเอียด
- เก็บในภาชนะที่ปิดสนิทเพื่อรักษาคุณภาพ
- การทำขมิ้นสดบด
- นำขมิ้นสดมาปอกเปลือก ล้างให้สะอาด แล้วบดละเอียด
- ใช้ผสมในครีมหรือเครื่องสำอางสมุนไพร
- การทำขมิ้นดอง
- นำเหง้าขมิ้นสดมาหั่นเป็นชิ้นและแช่ในน้ำเกลือหรือน้ำส้มสายชู
- เก็บไว้ใช้ได้นานและยังคงคุณค่าทางสมุนไพร
วิธีการปลูกขมิ้น
- การเตรียมดิน – ใช้ดินร่วนซุยที่มีการระบายน้ำดี
- การขยายพันธุ์ – ใช้เหง้าขมิ้นที่มีตาหรือหน่อใหม่ปลูกลงดิน
- การดูแลรักษา – ต้องการน้ำปานกลาง รดน้ำให้ชุ่มแต่ไม่แฉะ
- การเก็บเกี่ยว – สามารถขุดเก็บเหง้าได้หลังจากปลูกประมาณ 8-12 เดือน
ข้อควรระวัง
- ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม – การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือระคายเคืองกระเพาะอาหาร
- ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดีควรปรึกษาแพทย์ – ขมิ้นอาจกระตุ้นการผลิตน้ำดี
- สตรีมีครรภ์ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง – อาจมีผลต่อการบีบตัวของมดลูก
สรุป
ขมิ้นเป็นสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ทั้งในด้านโภชนาการและการรักษาโรค นิยมใช้เป็นเครื่องเทศเพิ่มรสชาติและสีสันในอาหาร รวมถึงเป็นสมุนไพรที่ช่วยบำรุงสุขภาพและรักษาโรคได้หลากหลาย การใช้ขมิ้นอย่างถูกต้องและเหมาะสมจะช่วยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากสมุนไพรชนิดนี้