มะเขือเทศเชอรี่ (Cherry Tomato) เป็นพืชผักที่ได้รับความนิยมทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่นฉ่ำ และสามารถรับประทานสดหรือใช้ในเมนูอาหารได้หลากหลาย นอกจากความอร่อยแล้ว มะเขือเทศเชอรี่ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น วิตามิน C, ไลโคปีน และใยอาหาร ซึ่งช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับลักษณะของมะเขือเทศเชอรี่ วิธีการปลูก การดูแลรักษา ประโยชน์ และวิธีการนำไปใช้ในอาหาร
ลักษณะของมะเขือเทศเชอรี่
- ต้นและใบ
- เป็นพืชในตระกูล Solanaceae เจริญเติบโตแบบพุ่มเตี้ยหรือเลื้อย
- ใบสีเขียวเข้ม รูปหยัก ขอบใบเป็นคลื่น
- ดอก
- ออกเป็นช่อ สีเหลืองสด มีขนาดเล็ก
- ผล
- มีขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-3 เซนติเมตร
- รูปทรงกลมหรือรี เปลือกบางแต่เหนียว
- สีของผลมีทั้งสีแดง ส้ม เหลือง และเขียวขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
- รสชาติหวานอมเปรี้ยว เนื้อแน่น ฉ่ำน้ำ

วิธีการปลูกมะเขือเทศเชอรี่
- การเตรียมพื้นที่และดิน
- ควรปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
- ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับดิน
- การเพาะเมล็ด
- หยอดเมล็ดลงในถาดเพาะกล้าหรือกระถางเล็ก
- รดน้ำให้ดินชุ่มแต่อย่าแฉะ
- ใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก
- การย้ายกล้า
- เมื่อกล้ามีใบจริงประมาณ 4-6 ใบ สามารถย้ายลงปลูกในแปลงหรือกระถางขนาดใหญ่
- เว้นระยะปลูก 40-50 เซนติเมตรต่อต้น
- การดูแลรักษา
- การให้น้ำ: ควรรดน้ำวันละ 1-2 ครั้งในช่วงเช้าหรือเย็น
- การให้ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ทุก 2 สัปดาห์
- การตัดแต่งกิ่ง: ควรเด็ดใบที่ไม่จำเป็นออกเพื่อให้มีการระบายอากาศที่ดี
- การป้องกันโรคและแมลง: ระวังเพลี้ยไฟ หนอนเจาะผล และเชื้อราที่ทำให้ใบเหี่ยว ใช้วิธีธรรมชาติหรือสารชีวภัณฑ์ควบคุม
การเก็บเกี่ยวและการแปรรูป
- การเก็บเกี่ยว
- มะเขือเทศเชอรี่เริ่มให้ผลผลิตประมาณ 60-75 วันหลังปลูก
- ควรเก็บเกี่ยวเมื่อผลเปลี่ยนเป็นสีแดงสดหรือสีตามสายพันธุ์
- ใช้กรรไกรตัดผลออกจากต้นเพื่อป้องกันการช้ำ
- การแปรรูป
- ซอสมะเขือเทศ: นำมะเขือเทศเชอรี่ไปบดและเคี่ยวเพื่อทำซอส
- มะเขือเทศอบแห้ง: ตากแดดหรือนำเข้าเตาอบเพื่อลดความชื้น
- ดองน้ำส้มสายชู: ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาและเพิ่มรสชาติ
- น้ำมะเขือเทศสด: คั้นเป็นน้ำเพื่อดื่มเพื่อสุขภาพ
ประโยชน์ของมะเขือเทศเชอรี่
- อุดมไปด้วยวิตามิน C และ A – ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและบำรุงสายตา
- มีสารไลโคปีนสูง – ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและมะเร็ง
- ช่วยบำรุงผิวพรรณ – วิตามิน C และไลโคปีนช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง
- เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร – ใยอาหารช่วยให้ขับถ่ายได้ดีขึ้น
- ช่วยลดความดันโลหิต – มีโพแทสเซียมสูงช่วยควบคุมระดับความดันโลหิต
การนำมะเขือเทศเชอรี่ไปใช้ในอาหาร
มะเขือเทศเชอรี่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายเมนู เช่น:
- สลัดมะเขือเทศเชอรี่ – ผสมกับผักสลัดอื่นๆ และน้ำสลัดเพื่อสุขภาพ
- พาสต้ามะเขือเทศเชอรี่ – ผัดกับน้ำมันมะกอก กระเทียม และชีส
- มะเขือเทศเชอรี่ย่าง – ย่างบนเตาถ่านหรือเตาอบ เพิ่มรสชาติหวานกลมกล่อม
- ซุปมะเขือเทศ – ปั่นมะเขือเทศเชอรี่เป็นซุปเพื่อเพิ่มรสชาติและสารอาหาร
- มะเขือเทศเชอรี่ผัดกับเนื้อสัตว์ – เช่น ผัดกับไก่ หรือเนื้อเพื่อเพิ่มรสชาติเปรี้ยวหวาน
ข้อควรระวังในการบริโภคมะเขือเทศเชอรี่
- ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรระวัง เนื่องจากมะเขือเทศมีกรดสูง อาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะได้
- ควรล้างให้สะอาดก่อนรับประทาน เพื่อลดสารเคมีหรือยาฆ่าแมลงที่อาจตกค้าง
- หลีกเลี่ยงการบริโภคมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้
สรุป
มะเขือเทศเชอรี่เป็นพืชผักที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านโภชนาการและความอร่อย สามารถปลูกได้ง่าย ดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก และมีอายุการเก็บเกี่ยวที่สั้น ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปลูกเพื่อบริโภคเองที่บ้านหรือเพื่อการค้า นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้หลากหลายรูปแบบ จึงถือเป็นผักเพื่อสุขภาพที่ควรมีติดบ้านไว้เสมอ